[ MDZS ] LanHua 2/? #ZhuiLing






:: คำเตือน ::
แฟนฟิคชั่นเรื่องนี้จัดอยู่ในหมวด Alternate Universe (AU โลกปัจจุบัน) และอาจเกิดการ out of character ขึ้นในบางช่วง ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

P.S. ผิดพลาดตรงไหน ต้องขออภัยด้วยนะคะ ;-;

LanHua

ZhuiLing


2/?



            "ขอโทษนะ"


            จินหรูหลานถอนหายใจ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกข้าง ๆ เขากล่าวขอโทษเป็นร้อยครั้งแล้วเห็นจะได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้สร้างความตกใจไม่น้อย เวลาห้านาทีที่หลานซือจุยสลบไปเหมือนห้าชั่วโมงสำหรับคนที่ทำอะไรไม่ถูก นอกจากพยายามค้นหาวิธีการปฐมพยาบาลจากเว็บไซต์ เขามีความรู้เรื่องการช่วยเหลือคนกระอักเลือดแล้วสลบไปที่ไหนเล่า แถมตึกเรียนก็ปิด จะไปห้องพยาบาลก็ไม่ได้


            สุดท้ายอีกฝ่ายก็ฟื้นขึ้นมาเอง แถมยังเอาชุดของตัวเองให้เขายืมเปลี่ยน ปฏิเสธไปเท่าไหร่ก็ยังดื้อรั้นจะให้เขาใส่ชุดตัวเองที่แห้งสนิทนั่นให้ได้ เพราะลูกตื๊อหรอกนะ เขาถึงยอมน่ะ ส่วนเจ้าของชุดหรอ หึ ใส่กางเกงว่ายน้ำกับเสื้อแจ็คเก็ตรอเข้าคัดตัวตามระเบียบ


            "หยุดพูดสักทีเถอะ มันน่ารำคาญ นายขอโทษฉันเป็นร้อยรอบแล้วมั้งหลานซือจุย"


            "นับด้วยหรอครับ" เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว


            ช้ะ ! นี่กวนประสาทกันใช่ไหม "ใครมันจะไปนับกันล่ะ ฉันเปรียบเทียบ เข้าใจไหมพ่อจืดชืด"


            "ผมก็พูดเล่นครับ" ผู้พูดยิ้มบาง ๆ แต่ก็ต้องขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา "คุณชายจินมีอะไรหรือเปล่าครับ"


            "นี่ฉันกับนายเป็นเพื่อนร่วมร่วมทีมกันจริงป้ะเนี่ย"


            "ทำไมหรอครับ"


            "ก่อนหน้านี้ยังเรียกฉันว่าจินหลิง ตอนนี้มาเรียกคุณชายจิน พิลึก"


            "ครับ" เจ้าตัวพยักหน้า "จินหลิงมีอะไรจะถามผมหรือเปล่าครับ"


            "ก็..." ผู้จัดการทีมว่ายน้ำยกมือขึ้นกอดอก "ไม่ได้อยากรู้หรอกนะ แต่ปล่อยไว้มันก็ไม่ดีใช่ไหมล่ะ ทำไมถึงมีรอยแบบนั้นได้"


            "มีติดตัวมาตั้งแต่เด็กน่ะครับ ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่เสียไป ก็เริ่มมีดอกกล้วยไม้สีฟ้าบานอยู่บนหลัง แต่ว่า นอกจากคุณอา กับญาติสนิทก็ไม่มีใครมองเห็นมัน"


            "ไม่คิดว่ามันประหลาดบ้างหรือไง"


            "คิดครับ แต่บ้านของผมดูแลศาลเจ้า เจอเรื่องประหลาด ๆ เยอะแยะ โตขึ้นมากับมัน เลยไม่คิดแล้ว"


            "แสดงว่าฉันก็พิเศษน่ะสิ มองเห็นมันได้" คุณชายจินยิ้มพร้อมกับแสดงท่าทางว่าตัวเองเหนือกว่า


            "คุณปู่บอกว่า มันเป็นคำสาปที่เอาไว้ปกป้องเนื้อคู่น่ะครับ"


            "ห้ะ ? " จินหลิงเบิกตากว้าง คิดในใจ ว่าเดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาไม่ได้หูฝาดหรอกใช่ไหม


            "คุณปู่ของผมเล่าว่า เมื่อไหร่ที่ปีศาจเงือกตนนั้นวาดภาพของกล้วยไม้สีเหลือง ลงบนตัวของผู้ที่ถูกเธอเลือกเป็นเครื่องสังเวยเพิ่มเพื่อพลัง เนื้อคู่ของผู้ถูกเลือก จะได้รับคำสาปกล้วยไม้สีฟ้าที่มีไว้หักล้างกันโดยอัตโนมัติ"


            "พูดอะไรมั่วซั่ว ปู่นายจะเชื่อได้สักแค่ไหนกัน" ผู้พูดพยายามแย้ง แม้ภายในใจจะแอบเชื่อไปแล้วครึ่งหนึ่งก็ตาม


            "ก็ไม่รู้สิครับ" เด็กหนุ่มสกุลหลานยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า กระนั้น ยังมีสิ่งที่เขาเลือกที่จะไม่พูดออกไป วิธีแก้คำสาปมีอยู่ แต่เห็นทีคงจะยาก


            ว่ากันว่า สิ่งที่เงือกสาวต้องการคือความรัก ผู้ที่มีคำสาปหักล้าง จะต้องมอบจูบหวานละมุนให้กับผู้ที่ต้องคำสาป ในสถานที่ที่มีน้ำ จะบึง คลอง แม่น้ำ หรือสระว่ายน้ำ ที่ไหนก็ได้ ขอแค่ให้คล้ายกับที่อยู่ของเงือกตนนั้น และไม่ใช่ว่าจะทำตอนไหนก็ได้ ต้องเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น


            ซือจุยรู้มาตั้งแต่อยู่มัธยมต้นแล้ว ว่าจินหลิงคือเนื้อคู่ของตัวเอง แต่ดูเหมือนจินหลิงจะไม่ต้องการสนิทสนมกับเขาเท่าไหร่ เลยตัดสินใจปล่อยเลยตามเลย ในเมื่อเจ้าตัวไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลือ เขาเองก็จนปัญญา ทว่า ในตอนนี้ คำสาปกลับทรงพลังมากขึ้น ดังนั้น เขาจึงต้องเปลี่ยนความคิด หากอีกฝ่ายไม่ต้องการ เขาก็ต้องหลอกล่อ และทำมันให้ได้


            วันที่พระจันทร์เต็มดวง อย่างเร็วที่สุด ก็คือวันที่มีการแข่งว่ายน้ำระดับเขตรอบชิงพอดี


            "จินหลิงครับ"


            "อะไร" คำตอบห้วน ๆ กับใบหน้าที่แสดงออกถึงความดื้อรั้นนั้น เขาเคยชินแล้วล่ะ


            "ถ้าผมชนะการแข่งว่ายน้ำระดับเขต ผมขออะไรอย่างหนึ่งจากจินหลิงได้ไหมครับ"


            "ชนะให้ได้ก่อนเถอะ ปีนี้มีแต่คนเก่ง ๆ "


            ซือจุยรู้ ว่านี่คือคำว่าได้ ในรูปแบบของคุณชายจิน เด็กหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้น สบตากับจิ่งอี๋ที่มาถึงได้สักพัก และเนียนฟังบทสนทนาของพวกเขาอยู่อย่างตั้งใจ


            "นายช่วยจำด้วยนะจิ่งอี๋ ว่าจินหลิงตอบตกลง"


            "ฉันพูดว่าตกลงตอนไหน ! " ตามระเบียบ คุณผู้จัดการทีมเริ่มโวยวาย นักกีฬาคนอื่นที่เคยชินแล้วก็ได้แต่ยักไหล่


            "คุณหนูจิน ใจเย็นครับ ใจเย็น" จิ่งอี๋ทำหน้ากวนประสาทใส่ ประกอบกับชื่อเรียกน่าตีนั่นทำให้กระดานรองเขียนในมือของฝ่ายที่ถูกล้อถูกยกขึ้นสูง เตรียมพร้อมฟาดคู่สนทนา


            "เอ๊ะ ! เดี๋ยวนะ" แต่แล้ว นักกีฬาหนุ่มก็ชะงักไป นัยน์ตาสีเข้มเพ่งมองดูชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อพร้อมตราสัญลักษณ์ของทีมแล้วขมวดคิ้ว "นี่มัน เสื้อของซือจุยนี่"


            เพราะความเงียบ และเสียงพูดที่ดังกว่าปกติด้วยเพราะยังอยู่ระหว่างการต่อล้อต่อเถียง ทุกคนรวมถึงเจ้าของชื่อจึงได้ยินมัน


            "ปกติรุ่นพี่จะใจดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเอาเสื้อผ้าของตัวเองให้ใครยืมนะ"


            "เมื่อเช้าก็เห็นว่าอยู่ด้วยกันด้วยนี่"


            "เห็นนั่งกอดกันอยู่ริมสระด้วย"


            "ที่นายไม่ยอมเข้าไป แล้วรอพี่จิ่งอี๋เพราะแบบนี้เองสินะ"


            "เห็นชอบอยู่ในห้องล็อกเกอร์กันนาน ๆ หลังเลิกชมรมด้วย"


            พวกนักกีฬาเริ่มออกความเห็น จินหลิงจิ๊ปาก ผู้จัดการทีมกับกัปตันทีมจะอยู่ด้วยกันก็ไม่เห็นแปลก ที่ต้องอยู่ในห้องล็อกเกอร์ด้วยกันนาน ๆ ก็เพราะต้องคอยดูว่ามีของอะไรขาด หรือต้องการอะไรเพิ่มบ้าง


            ในขณะที่กำลังจะอ้าปากเถียงนั่นเอง คนที่เงียบอยู่นานพลันชิงพูดขึ้นเสียก่อน


            "ทำไมล่ะครับ ผมกับจินหลิงเป็นแฟนกันนี่ แค่ให้ยืมเสื้อกับกางเกงใส่ก็ไม่เห็นแปลกอะไรเลย"


            เด็กหนุ่มสกุลจินอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ไม่เชื่อหูว่าจะได้ยินหลานซือจุยพูดว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน แลไม่เชื่อตาตัวเองด้วย ว่าในตอนนั้น แววตาของอีกฝ่ายดุดันเหมือนสัตว์ร้าย


            ไม่เหมือนหลานซือจุยที่เขาเคยรู้จัก...


            ถึงจะบอกว่าไม่สนใจ แต่รอยยิ้มอ่อนโยน เสียงนุ่มละมุน ความใจดีที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่เรื่อยนั่นน่ะ เขาจำได้ดี แม้ในตอนนี้ซือจุยกำลังยิ้ม แต่เขามั่นใจว่ามันไม่ใช่รอยยิ้มที่ตนและคนอื่น ๆ เคยได้รับ


            พวกนักกีฬาส่งเสียงฮือฮากันใหญ่ จินหลิงทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ ตามทุกอย่างไม่ทัน ในหัวมีแต่คำว่าทำไม กับคำว่าเขาไม่ใช่พวกชอบเพศเดียวกันเสียหน่อย ไม่เคยชอบซือจุยด้วย จะเป็นแฟนกันได้ยังไง บ้าไปแล้ว


            จิ่งอี๋เงียบไปเช่นกัน สาเหตุไม่ได้ซับซ้อน ก็แค่ตกใจ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่คุณครู หรือที่พวกเขาพากันเรียกโค้ชมาถึง ทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบ


            ผู้จัดการทีมยืนอยู่ที่ริมสระ ใช้ดินสอจดตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟน นักกีฬาหลายคนสามารถทำรอบว่ายไป-กลับได้เร็วขึ้นจากปีที่แล้ว จิ่งอี๋เองก็พัฒนาขึ้นอย่างน่ากลัว เวลาที่ลดลงถึงสามสิบวิจากคราวก่อนทำให้โค้ชภูมิใจมาก ส่วนซือจุย ยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้ดี กระนั้น ยังไม่ครบจำนวนรอบตามที่กำหนด ก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้


            ดวงตาสีอำพันมองดูกัปตันทีมที่เคลื่อนตัวอยู่ในสระน้ำ ไหล่กว้างและแผ่นหลังด้านขวาไปจนแขนข้างเดียวกัน มีคำสาปดอกกล้วยไม้อยู่ สีของมันเข้มขึ้นเมื่ออยู่ในน้ำ บางทีอาจเป็นกลไกอะไรบางอย่างของคำสาป จินหลิงไม่รู้ และไม่เข้าใจ แต่ไม่สามารถหาถ้อยคำมาโวยวายหรือเถียงได้ เพราะแผลรอยข่วนนั่นกวนใจอยู่ เสียงกรีดร้องของผู้หญิงก่อนที่อีกฝ่ายจะสลบไปด้วย


            "คุณหนูจิน แฮ่ ! "


            "เฮ้ย ! "


            "โอ้ย ! "


            จิ่งอี๋ที่อยู่บริเวณขอบสระ เอื้อมมือมาจับข้อเท้าของจินหลิง ส่งผลให้ถูกส้นเท้าของเจ้าของฉายาขยี้อุ้งมือเข้าให้ด้วยความตกใจ ในขณะที่กำลังจะฉีกยิ้มให้กับคนเบื้องบนนั่นเอง ก็มีเหตุทำให้ต้องยิ้มแห้ง ๆ แทน สายตาของเพื่อนสนิทที่ปลายนิ้วแตะขอบสระพอดีนั้นน่ากลัวอย่างกับยักษ์มาร


            "หว่าย มีคนหึง ไปดีกว่า" ว่าแล้วก็รีบปีนขึ้นจากสระ ถอดแว่นตาว่ายน้ำกับหมวกออกแล้วสะบัดหัวเหมือนกับกระต่ายสลัดขน


            "อาหลิง เวลาครับ"


            ร่างโปร่งสะดุ้งโหยง รีบดูโทรศัพท์ และจดตัวเลขเวลาลงไป กัปตันทีมทำเวลาได้ดีอย่างที่ทุกคนคิดไว้ ขนาดเสียเวลาไปกับการเหม่อสอง-สามวิของผู้จัดการอย่างเขา ยังดีกว่าคนอื่นมากโข


            เวลาสายใกล้เที่ยง การคัดเลือกนักกีฬาจบลงแล้ว จินหลิงส่งกระดาษบันทึกเวลาให้กับโค้ช เตรียมตัวจะกลับบ้าน ป่านนี้เทียนจื่อ ฮัลกี้ สัตว์เลี้ยงของเขา คงกินอาหารเม็ดจากเครื่องให้อาหารอัตโนมัติไปแล้ว แต่ตัวเขานี่สิ จะกินอะไร


            เหล่านักกีฬาที่เปลี่ยนชุดแล้วพากันทยอยกลับบ้าน จิ่งอี๋ต้องกลับก่อนเพราะมีการบ้านและงานค้างจำนวนหนึ่งต้องทำ เด็กหนุ่มสกุลจินยังคงกลับไม่ได้ เพราะต้องรอตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องล็อกเกอร์เสียก่อน กระนั้น ดวงตาเจ้ากรรมก็อดจะมองดูซือจุยไม่ได้


            อีกฝ่ายเปลี่ยนชุดใหม่ เป็นเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีกรมท่ากับกางเกงยีนส์ขาดสีดำดูแปลกตา เขาไม่เคยเห็นพ่อหนุ่มจืดใส่เสื้อผ้าสีเข้มมาก่อน ดูไปดูมา มันกลับเข้ากับกล้วยไม้ที่กลายเป็นสีน้ำเงินบริเวณแขนได้ดี หน้าม้าปัดข้างที่ตอนนี้เปียกจนแนบลู่ไปกับใบหน้าก็ด้วย มันทำให้คนที่ไล่ตรวจสอบการล็อกของล็อกเกอร์ดูดี


            "ทำไมล่ะครับ ผมกับจินหลิงเป็นแฟนกันนี่"


            ดีเสียจนนึกถึงคำพูดประโยคนั้น


            "จินหลิงมีอะไรหรือเปล่าครับ"


            ดีเสียจนเขาเผลอใจเต้นแรงเพราะเขินขึ้นมาอีกด้วย


            "เปล่า"


            "หรอครับ"


            "เออสิ ! ก็บอกว่าเปล่าไง ยังจะมามองกันอยู่ได้ หันไป๊ ! "


            ตอนนั้นเอง เสียงซุบซิบนินทาของสมาชิกทีมว่ายน้ำคนอื่นก็ดังขึ้น


            "โธ่ ๆ  คุณหนูหลิง แฟนมองนิดมองหน่อยก็โวยวายแล้วว่ะ"


            "รอยข่วนที่หลังกัปตันก็ไม่ใช่ว่าคุณหนูหลิงทำหรอคร้าบ แหม แค่กัปตันมองนิดเดียวทำเป็นอา—"


            เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากต่อว่า แต่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนักอึ้งบางอย่างจากคนที่เดินเข้ามาใกล้แล้วเอาตัวมาบังเขาเอาไว้ได้เสียก่อน


            "ผมให้เกียรติอาหลิงของผมแล้ว ยังไง รบกวนคนอื่นช่วยให้เกียรติอาหลิงของผมด้วยครับ" คำพูดที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้าไม่มีคำหยาบคายสักคำ แถมยังเจ็บแสบจนพวกที่ปากกล้าเพราะหมั่นไส้จินหลิงมานานหน้าซีด ผู้จัดการทีมว่ายน้ำนึกกระหยิ่มยิ้มย่องในใจ ที่แท้ก็ไม่แน่นี่หว่า


            "ถ้าผู้ปกครองของพวกนายสอนมารยาทมา ผมว่ามันก็ทำได้ไม่ยากหรอกนะ"


            เอาล่ะ เขาจะจำเอาไว้ ว่าฝีปากของซือจุยก็ไม่เบา ร้ายพอกันกับจิ่งอี๋


            "ขอโทษครับรุ่นพี่" คนที่ตอนนี้หงอยิ่งกว่าสุนัขถูกดุรีบโค้งศีรษะแล้วพากันเดินออกไป ตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่คนทั้งคู่


            "ขอโทษนะ ที่เป็นต้นเหตุทำให้ได้ยินคำพูดพวกนั้น" ตามระเบียบ ซือจุยขอโทษเป็นครั้งที่แสนล้าน


            "ช่างมันเถอะ ยังไงคนพวกนั้นก็อยู่ละชั้นกับฉันอยู่แล้วนี่ แค่เสียงนกเสียงกา ไม่เห็นน่าสนใจเลย —หืม ? " คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอีกครั้ง เมื่อคู่สนทนาหยิบแจ็คเก็ตของตัวเองจากกระเป๋าที่สะพายอยู่มาคลุมที่ไหล่ให้ แน่นอนว่าแจ็คเก็ตตัวนี้ก็มีชื่อของเจ้าตัวปักอยู่เช่นกัน


            "ทำอะไร"


            "ดูจากในโทรศัพท์ พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนตกกับลมข้างนอกจะทำให้อากาศเย็นขึ้น จินหลิงใส่ไว้ดีกว่า"


            "ตกลงนายจะเรียกฉันว่าอะไรแน่"


            "จินหลิงพอใจให้ผมเรียกแบบไหนล่ะครับ"


            ทั้งที่มันเป็นคำถามธรรมดา ๆ แต่เจ้าของชื่อกลับรู้สึกว่ามันกวนประสาท


            "ถ้าฉันบอกว่าให้เรียกนายท่านจินหรูหลานจะเรียกไหมล่ะ"

            "ถ้าพอใจแบบนั้นจะเรียกแบบนั้นครับ"


            "เรียกอาหลิงก็ได้" บอกไปโดยที่หันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้า "หรือจะไม่เรียกก็แล้วแต่ ให้โอกาสไปแล้ว มีไม่กี่คนหรอกนะที่ฉันให้เรียกแบบนี้ได้น่ะ รู้ไว้ด้—"


            "ครับอาหลิง"


            รอยยิ้มอ่อนโยน เป็นมิตรต่อสัตว์โลกอีกแล้ว ให้ตายเถอะ


            จินหลิงยกมือขึ้นแนบลงบนอกซ้าย ทำไมกัน ทำไมหัวใจของเขาต้องเต้นแรงเพราะร้อยยิ้มนั้นด้วย


            "อืม"


            "อาหลิงครับ"


            "ว่าไง"


            "ไปหมุนกาชาปองด้วยกันไหมครับ"


            รู้สึกเหมือนตัวเองหูฝาดอีกแล้ว คนอย่างซือจุยน่ะนะ จะสนใจการหมุนกาชาปอง บ้าไปแล้ว


            "ไปคนเดียวไม่ได้หรือไง เป็นพวกขี้เหงาหรอ"


            "เปล่าครับ แค่คิดว่า อาหลิงเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จ ถ้าพาอาหลิงไปด้วย ผมอาจจะหมุนได้ของอันที่ผมต้องการก็ได้"


            คำว่าอาหลิงเป็นคนที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จทำให้เจ้าของชื่อยอมโอนอ่อน


            "ได้ ฉันจะไปกับนาย"



{




            บางที จินหลิงอาจเป็นคนโชคดี ไม่ก็ ทำอะไรก็สำเร็จอย่างที่ซือจุยว่าจริง ๆ เพราะหมุนแค่สอง-สามครั้ง ก็ได้หมวกรูปปลาปักเป้าสำหรับสัตว์เลี้ยงมาแล้ว


            "นายจะเอาไปทำอะไร" เพราะสงสัย จึงอดที่จะถามไม่ได้


            "อยากรู้หรอครับ"


            ก็เออสิ ถามแล้วไม่อยากรู้มีที่ไหน "ถามไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้อยากรู้หรอก จะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของนายเถอะ"


            คนที่ชวนมาหัวเราะเบา ๆ "จะเอาไปให้กระต่ายที่ศาลเจ้าใส่แล้วถ่ายรูปน่ะครับ คงน่ารักน่าดู"


            คนฟังพยักหน้า เขาเคยได้ยินจากน้าชายเว่ยอู๋เซี่ยน ที่แต่งงานกับหลานวั่งจี ว่าที่ศาลเจ้ามีกระต่ายอยู่เป็นฝูง


            "อาหลิงครับ"


            "ว่าไง"


            การเริ่มต้นบทสนทนาแบบเดิม ๆ กลับมาอีกครั้ง


            "ทานไอ'ติมด้วยกันไหมครับ"


            "เริ่มแรกก็ชวนฉันมาหมุนกาชาปองเอาของเล่นให้กระต่าย ต่อมาก็ชวนไปทานไอ'ติม ต่อไปนายจะชวนฉันไปไหนบ้าง ชวนทีเดียวเลยไม่ได้หรือไง"


            "ถ้าผมชวนไปที่บ้าน อาหลิงจะไปกับผมไหมล่ะครับ"


            ผู้พูดยิ้มบาง ๆ ในขณะที่ผู้ฟังอ้าปากค้างเป็นรอบที่สอง


            "ไม่มีความจำเป็นที่ฉันต้องไป"


            "ที่บ้านผมมีรูปวาดของดอกกล้วยไม้ ที่คล้ายกับดอกกล้วยไม้บนหลังอาหลิงด้วยนะครับ"


            ได้ผล จินหลิงหยุดชะงัก ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จึงให้คำตอบ


            "ได้ แต่จะอยู่แค่แป๊บเดียว"


            อย่างน้อย มีน้ากับน้าเขยอยู่ คงไม่มีอะไรต้องกังวล





TBC.


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม