BP JA CUT SCENE
เจ้าของชื่อเปิดตาขึ้น สิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า ก็คือภาพของเขาในคืนก่อน และตอนที่กำลังเล่นกับแมวอยู่ที่ด้านล่างคอนโด ถูกหนีบเอาไว้ที่ด้านบน เหนือภาพของครีบปลา
"ตั้งแต่เมื่อไหร่"
"ตอนที่อันเผลอ ผมถ่ายเก็บไว้ได้พอดี"
"อ๋อ" พยักหน้าเป็นการแสดงให้เห็นว่าเข้าใจแล้ว
"ชอบไหม" ผู้ที่กดชัตเตอร์เก็บช่วงเวลาเหล่านั้นเอาไว้เดินเข้ามาประชิดจากทางด้านหน้า ส่งผลให้ต้องถอยไปจนชิดกับโต๊ะอย่างช่วยไม่ได้
"ชอบสิ"
"แล้วนี่ล่ะ อันชอบหรือเปล่า" ผู้พูดขยับเข้ามาจนผู้ฟังหมดหนทางจะหลีกหนี ใบหูของร่างโปร่งกลายเป็นสีแดงไปอีกครั้ง สองแขนของคนตรงหน้าโอบกอดเงือกหนุ่มเอาไว้ ริมฝีปากกระจับแนบลงบนเรียวปากอิ่ม ค่อย ๆ บดเบียดเข้าหาอย่างเชื่องช้า เคล้าคลึงแผ่วเบาราวกับพ่อครัวขนมที่กำลังเคี่ยวน้ำตาลอย่างพิถีพิถัน
ฟันคมขบกลีบปากนุ่มเป็นการหยอกล้อ มันเห่อช้ำขึ้นสีเหมือนกับสตอเบอร์รี่น่าลิ้มลอง มือสองข้างของร่างหนาประคองกายของคนในอีกคนขยับขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ก่อนจะส่งเรียวลิ้นเข้าไปกวาดหาความหวานในโพรงปากของอีกฝ่าย
เขารู้ดี ว่ามันไม่มีรสชาติใด นอกจากความว่างเปล่าและเสียงของน้ำลายน่าอับอาย แต่เพราะกลิ่นหอมจาง ๆ จากคนตรงหน้า ส่งผลให้จวิ้นฮุยรู้สึกราวกับกำลังลิ้มรสขนมเค้กชิ้นโปรด
มือทั้งคู่ขยับอีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เหยียนอันยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของเขา เรียวขาสองขาภายใต้กางเกงนอนถูกจับแยกออก ผู้ริเริ่มทานของหวานในเช้าวันนี้แทรกตัวเข้าไประหว่างมัน ระยะห่างของพวกเขาใกล้ขึ้นจนสามารถทำสิ่งอื่นนอกเหนือจากจูบได้สะดวก
กางเกงผ้าที่สวมอยู่ไร้ความหมายอีกต่อไปเมื่ออารมณ์ถูกฉุดขึ้นไปจนสูงกว่าที่จะมามอบจุมพิตหวานซึ้งและผละออก จวิ้นฮุยวางมือลงบนหน้าขาของคนที่กำลังหอบหายใจเมื่อเขาปล่อยให้เรียวปากสีสดนั้นเป็นอิสระ ปลายนิ้วเรียวลูบไล้ผิวเนื้อเนียนละเอียดอย่างหลงใหล ส่วนมืออีกข้าง ก็ยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อนอนของร่างโปร่ง ดึงมันจนตกไปคาอยู่ที่ข้อพับ
กดจูบลงบนลำคอระหงส์ ไล่ต่ำมาจนถึงไหล่มน ฝากฝังรอยเอาไว้ประหนึ่งกำลังแต่งแต้มสีลงบนผืนผ้าใบ แต่ก็เป็นผืนผ้าใบที่หอมและนุ่มเกินกว่าจะบรรยายได้ เรียวปากที่รังสรรค์ร่องรอยเอาไว้ระลงมาเรื่อย จงใจมอบสัมผัสผะแผ่วยามเมื่อผ่านยอดอกที่เริ่มชูชันด้วยแรงปรารถนา
เขาขอถอนถอนคำพูด ว่าเหวินจวิ้นฮุยเป็นบุรุษใสซื่อ
แต่แน่นอนว่ามีหรือจะปล่อยให้ตัวเองถูกแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว
สองมือที่เคยโอบรอบลำคอขยับลงมาวางที่ไหล่ ดันร่างหนาออกห่าง ชายหนุ่มมองดูคนเบื้องหน้าอย่างฉงน นัยน์ตาคู่สวยฉ่ำหวาน รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปากของเงือกหนุ่ม
เหยียนอันถดกายไปจนมีพื้นที่มากพอ ขางสองถูกยกขึ้นมาอยู่บนโต๊ะในลักษณะชันเข่า แยกมันออกกว้าง
"อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากเลยน่า"
จวิ้นฮุยคิ้วกระตุก ฮูหยินเหยียนช่างร้ายกาจ เขาตั้งใจว่าจะแกล้งแล้วหยุดเพียงเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะให้เลยเถิดไปมากกว่านี้ แต่เห็นที ตอนนี้คงยากแล้ว หากจะหยุดลง ในตอนนั้นเอง พวกเขามอบจุมพิตหวานที่แฝงไปด้วยความเร่าร้อนให้กันอีกครั้ง
ลมแผ่วเบาที่เคยระหยอกล้ออยู่กับคลื่นทะเลแปรเปลี่ยนกลายเป็นพายุ ฝากรอยรักเอาไว้บนเรียวขาขาว มือข้างหนึ่งกอบกุมส่วนอ่อนไหวต่อสัมผัสเอาไว้ ขยับขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างเชื่องช้า เสียงหอบหายใจดังขึ้นปลุกเร้าให้อารมณ์ที่เปรียบได้ดั่งวาตะโหมกระหน่ำ
หยาดฝนโปรยปรายลงมาในไม่ช้าเมื่อเขาเร่งความเร็วขึ้น เรียวนิ้วของผู้เป็นดั่งพายุเคลือบด้วยหยาดอารมณ์ เขาชูมันขึ้นให้ผู้ซึ่งเป็นดั่งท้องทะเลสงบได้เห็น แก้มใสขึ้นสีแดงก่ำ นัยน์ตาคู่งามเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา
"อ๊ะ" เขาร้องออกมา ก่อนที่จะพยายามเก็บเสียงเสนาะหูเอาไว้ด้วยการขบกัดนิ้วของตน แต่แล้วก็ถูกดึงมันออกโดยใครอีกคน
"ให้ผมได้ยินเสียงคุณนะ..." เสียงแหบพร่ากระซิบสั่งข้างใบหู "อัน..."
"อ๊ะ จ —จวิ้นฮุย อื้อ—" มือขาวถูกดึงออก จีบเนื้อสีสดถูกเคล้าคลึงจนรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งไปทั่วร่าง ก่อนที่ช่องทางอุ่นนุ่มจะถูกชำแรกด้วยก้านนิ้วที่เปรอะด้วยหยาดคาวขุ่น ผู้รับสัมผัสวาบหวามส่งเสียงครางหวาน ยิ่งเมื่อเป็นเสียงของเงือกด้วยแล้วยิ่งไพเราะเสียจนลุ่มหลง
ลุ่มหลงเสียจนอดใจไม่ได้ ขยับเข้าออกเพียงสอง สาม ครั้งก็ตัดสินใจดึงมันออก คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากัน เมื่อช่องทางด้านหลังฉ่ำแฉะผิดธรรมชาติ
เคยมีตำนานเมืองเล่าขานกันว่า เงือกที่จำแลงเป็นมนุษย์ จะมีความพิเศษ เพราะพวกเขา หรือเธอ ใช้ร่างกายและเสียงในการล่อลวงมนุษย์
ไม่รู้ว่าสิ่งที่เคยได้ยินมาจะเป็นเหตุผลรองรับสำหรับเรื่องนี้ได้หรือไม่ แต่ในตอนนี้ เขารู้เพียงแค่อยากโอบกอดอีกฝ่ายเอาไว้ให้แนบแน่นเท่านั้น
อาภรณ์ช่วงล่างถูกดึงร่นลง แรงปรารถนาชักนำทุกการกระทำให้เป็นไปเองโดยธรรมชาติ สองมือยึดสะโพกของร่างโปร่งไว้ ออกแรงดึงเข้าหาตัวชินแนบชิด ถอยห่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ สอดแทรกกายเข้าหาอีกฝ่าย ผนังนุ่มบีบรัดเสียจนแทบบ้า
พายุคลั่งโหมกระหน่ำเข้าหาชายฝั่ง เสียงครวญครางดังตามจังหวะของการขยับกาย คลื่นลูกเล็กซัดสูหาดทราบก่อนจะถาโถมกลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ เรียวขาทั้งคู่ยกขึ้นโอบรับเอวของคนตรงหน้าเอาไว้ ปลายเท้าจิกเกร็งเช่นเดียวกับปลายนิ้วที่จิกลงบนแผ่นหลังยามเมื่อจวิ้นฮุยโน้มกายลงเพื่อจูบที่ริมฝีปากของเหยียนอันอีกคราว
โต๊ะทำงานส่งเสียงร้องประท้วงเมื่อพายุทวีคูณกำลังพัดกระแทกกระทั้นกับท้องทะเล หยดน้ำตาที่เอ่อล้นด้วยความสุขสมอาบข้างแก้ม ก่อนที่ทั้งร่างจะกระตุกเกร็ง และปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง จวิ้นฮุยขบกรามแน่น เมื่อภายในบีบรัดราวกับต้องการจะกักเก็บทุกหยาดหยดที่ถูกฉีดเข้าเติมเต็ม
เหยียนอันรู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยบินวนอยู่ในท้อง ความวูบโหวงเข้ามาแทนที่เมื่ออีกคนถอดถอนกายออกจากช่องทางสีหวาน จีบเนื้อบวมช้ำกระตุกถี่ ผลักดันให้หยาดน้ำขุ่นข้นไหลย้อนออกมาเปรอะเปื้อนลงบนโต๊ะ แผ่นหลังรู้สึกเจ็บเล็กน้อยด้วยเพราะถูกเสียดสี
หอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง จึงกำมือทุบลงบนแผ่นหลังของผู้กระทำการอุกอาจที่โน้มตัวลงมาใกล้จนปลายจมูกชนกัน มือสองข้างของชายหนุ่มแนบเข้าข้างแก้มของคนใต้ร่าง
"คุณเป็นของผมอีกแล้วนะ อัน"
"ว่าไงนะ" เจ้าของชื่อรีบสวนทันควัน
"คุณเป็นของผม อีกครั้งแล้ว..." คำว่าอีกครั้งแล้วได้รับการเน้นย้ำ และผู้พูดก็โดยทุบเข้าที่หลังไปอีกครั้ง รู้สึกร้าวระบบไปทั้งตัวแต่กลับพูดออกมาไม่ได้
"ไหนว่าจำอะไรได้ไม่มากไง ! " ฮูหยินเริ่มโวยวาย
"ผมก็ไม่ได้บอกนี่ ว่าที่จำได้จากฝันมีอะไรบ้าง ที่จำได้มีอะไรบ้าง"
"ย้า ! จวิ้นฮุย คนเจ้าเล่ห์" คราวนี้นับว่าปรานี เพราะเป็นเพียงการฟาดรัว ๆ เข้าที่แขน แต่นานเข้า ๆ ก็เริ่มรู้สึกเจ็บแสบเหมือนกัน
"โอ้ย เจ็บนะอัน ผมเจ็บ" ร้องขอความเห็นใจอย่างน่าหมั่นไส้ แต่สุดท้ายก็ได้รับการกอดมาแทน
"แต่จำเราได้ใช่ไหม"
"ผมก็ต้องจำอันได้อยู่แล้วสิ"
อ้อมกอดนั้นกระชับมากขึ้น
"แค่จวิ้นฮุยจำเราได้ก็พอแล้ว"
มีต่อนะคะ ; ;
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น